เป็นเรื่องสุดช็อกถึงกับใจเสีย เมื่อ มิ้นต์ ชาลิดา ได้ออกมาโพสต์ไอจีสตอรี่ หลัง มอส น้องชายแท้ๆ ได้ถูกชาวต่างชาติทำร้ายร่างกายกลางดึก จนได้รับบาดเจ็บหลายจุด ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ร้านอาหารย่านรัชดาซอย 3 ซึ่งเป็นธุรกิจของ ม่อน ธนัชชัย น้องชายอีกคนของ มิ้นต์ โดย มิ้นต์ ได้เขียนเล่าเหตุการณ์ผ่านไอจีสตอรี่ว่า
“เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับน้องชายแท้ๆ ของมิ้นต์ เมื่อวันที่ 25 กันยายน เวลาประมาณตี 2 ทางพนักงานของร้านได้โทรมาขอความช่วยเหลือจากน้องชายของมิ้นต์ว่า มีชาวต่างชาติเข้ามาบุกรุกและทำร้ายร่างกายพนักงาน น้องชายมิ้นต์เลยรีบขับรถไปที่ร้าน เพื่อไกล่เกลี่ยปัญหา
แต่ชาวต่างชาติผู้ก่อเหตุกลับมาทำร้ายร่างกายน้องชายของมิ้นต์ ด้วยการเตะเข้าที่หน้า ครอบครัวมิ้นต์ต้องการให้ผู้ก่อเหตุมารับผิดชอบในสิ่งที่เขาทำ ใครพอจะมีความรู้ทางด้านกฎหมายหรือทราบว่าเราต้องแจ้งหน่วยงานไหน ให้ดำเนินการให้เร็วที่สุด ก่อนที่เขาจะออกนอกประเทศในวันที่ 3 ตุลาคม 2024 นี้ *ตอนนี้ทางครอบครัวได้เข้าแจ้งความกับทางสถานีตำรวจห้วยขวางแล้ว”
สำหรับความคืบหน้าในเรื่องนี้ มิ้นต์และม่อน น้องชาย ได้ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง บอกว่า
– มอส น้องชาย โดนเตะเข้าที่หน้าแรงมาก เหตุการณ์เกิดขึ้นประมาณตี 2 กว่าๆ โดยก่อนหน้านี้ มอส ได้หลับไปแล้ว แต่ได้รับแจ้งจากพนักงานที่ร้านบอกว่า มีฝรั่งเข้ามาที่ร้าน แล้วเข้ามาก่อความวุ่นวายเสียงดัง ซึ่งร้านของมอสได้ปิดแล้ว แต่ฝรั่งคนนี้ได้ไปมึนเมาจากที่อื่น แล้วจะมาขอซื้อแอลกอฮอล์ ซึ่งทางร้านไม่ได้ขายและปิดร้านแล้ว
– ฝรั่งคนนี้พยายามมายั่วยุกับพนักงาน เหมือนกับเขาไปเมามาจากที่อื่น และกลับมาโรงแรม แต่ทางเราปิดร้านและไม่ขายแล้ว เลยทำให้เขาโกรธ ทางผู้จัดการร้านก็เคลียร์ไปแล้วรอบหนึ่ง และส่งฝรั่งคนนี้ขึ้นไปนอนบนห้อง
– ทางพนักงานก็ได้โทรตาม มอส มาที่โรงแรม เผื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก เมื่อ มอส มาถึงฝรั่งก็ลงมาใหม่อีกรอบ
– จากนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือ ฝรั่งเริ่มโมโหโดยไม่ทราบสาเหตุ เห็นผู้ชายคนไหนเดินเข้าออกโรงแรมก็จะเข้าไปทำร้าย
– มอส เองก็พยายามห้าม พร้อมกับบอกให้ใจเย็นๆ ถึงขั้นคุกเข่าขอแล้ว แต่ภาพที่เห็นคือน้องชายถูกเตะเข้าที่บริเวณหน้าและหลังหู เรารู้สึกว่ามันรุนแรงมาก และฝรั่งคนนั้นเขามีภาวะไม่ได้ยิน แต่ใส่เครื่องช่วยการได้ยิน เราก็รู้ว่าเขาอาจจะได้ยินอยู่บ้าง แต่เขาคุ้มคลั่งไปแล้ว
– เหตุการณ์มันวุ่นวายมาก เราก็เลยทำการแจ้งตำรวจ ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ตำรวจถึงจะเดินทางมาถึง ซึ่งในระหว่างนั้นก็ได้โทรไปถามตำรวจอีกรอบว่า อยู่ไหนแล้ว แต่เขาตอบกลับมาว่า แถวนั้นไม่มีผู้ชายเลยเหรอ ให้ช่วยก่อนสิ พร้อมกับใช้น้ำเสียงที่ไม่โอเคเท่าไหร่ ซึ่งเราเข้าใจกระบวนการนะ เพราะเรารู้ว่าจากที่เราอยู่ กับสถานีตำรวจห้วยขวางใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาที
– ทางครอบครัวพอได้เห็นคลิป เห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด พ่อกับแม่เสียใจมากๆ เราเคยเห็นข่าว เห็นคลิป ไม่คิดว่าจะเกิดกับเรา
– ทราบมาว่าเขาจะกลับประเทศวันที่ 3 ต.ค. เราเข้าใจกระบวนการทำงานของตำรวจ แต่สิ่งที่กลัวคือความปลอดภัย สิ่งที่เราได้รับคือเราเป็นผู้เสียหาย แต่เราเข้าใจกระบวนการทำงานของตำรวจที่จะมาช่วย และเวลาที่ต้องรอผลจากนิติเวชจากการตรวจการถูกทำร้ายร่างกาย
– นี่ไม่ใช่เหตุการณ์แรกที่เกิดกับคนไทย พอมาเกิดกับเรา เราก็มาทราบข้อกฎหมายว่า มันต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างนานเหมือนกัน มันไม่ใช่คดีที่เกิดขึ้นกับคนไทยคนแรก มีอีกกี่คนที่ต้องเป็นผู้รับและผู้ยอม
– เพราะคำพูดที่ตำรวจบอกกับน้องมอส เพราะน้องแจ้งความตอนตี 2 ตำรวจได้พูดว่า ก็ไกล่เกลี่ยยอมความกันไปเถอะ เขาเป็นชาวต่างชาติ ทำอะไรไม่ได้หรอก ประเทศเราจะได้ไม่ต้องเสียชื่อเสียง
– ม่อน ได้เผยอีกว่า ในระหว่างที่ผู้จัดการร้านเข้าไปไกล่เกลี่ยและจะพาไปขึ้นไปนอน ชาวต่างชาติได้มีท่าทีแปลกๆ เหมือนสูดแขน เลยตั้งข้อสงสัยว่าเขาติดสารเสพติดรึเปล่า เพราะวันที่ไปแจ้งความ มอส ได้ไปแจ้งความคนเดียวที่สถานีตำรวจ และตำรวจบอกว่า ทำอะไรไม่ได้ เมื่อถามตำรวจว่าทำไมไม่ตรวจอะไรเลย ตำรวจก็ได้ตอบกลับมาว่า ไม่จำเป็นต้องตรวจหรอก
– หลังจากแจ้งความเสร็จ ตำรวจก็ได้ปล่อยตัวชาวต่างชาติคนนั้นออกมา ทั้งๆ ที่เขาคุ้มคลั่งและไม่มีพาสปอร์ต ไม่มีการฝากขังใดๆ ทั้งสิ้น
– ด้าน มิ้นต์ ได้บอกว่า พอเกิดเหตุการณ์นี้ ทางมอสก็ได้ขอไม่ให้คนนี้เข้าพักที่โฮสเทลของเราแล้ว แต่ตำรวจก็ได้บอกว่า ถ้าไม่ให้เขาพักที่นี่แล้วเขาจะไปนอนที่ไหน
– มิ้นต์ ได้บอกต่ออีกว่า การทำร้ายร่างกายไม่ใช่เรื่องปกติ และไม่ใช่เรื่องที่ควรเกิดกับใครเลย บาดแผลในใจคนเราไม่เหมือนกัน อย่าตัดสินแค่ว่าโดนมานิดเดียวไม่เป็นไรหรอก ถ้าใครไม่เจอกับตัวเองก็คงไม่รู้
– มิ้นต์ ได้บอกต่ออีกว่า ตำรวจเป็นคนแจ้งเองว่า เขาจะเดินทางออกนอกประเทศวันที่ 3 ต.ค. ซึ่งกระบวนการต่างๆ และต้องรอนิติเวชจะเข้ามาที่ สน. ห้วยขวาง อีกทีในวันที่ 2 ต.ค. ซึ่งเรื่องนี้เกิดตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. แล้ว ซึ่งเราค่อนข้างกังวลว่ามันจะล่าช้า
– ก็ได้ถามตำรวจกลับไปว่าแล้วยังไงต่อ ตำรวจก็ได้แจ้งกลับมาว่า ก็ไม่เป็นไร ให้เขาออกไปก่อน แล้วเดี๋ยวรอเขากลับมา ค่อยดำเนินการต่อแล้วกัน เราก็ถามกลับไปว่า ถ้าเขาตัดสินใจไม่กลับมาอีกแล้ว จะทำยังไง ซึ่งประเด็นนี้เราก็ยังไม่ได้คำตอบเหมือนกัน.